การเปลี่ยนมุมมองความคิด
- Reg Connolly
- Dec 15, 2015
- 1 min read
ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่ เมื่อตอนที่ฉันยังอายุน้อยๆ ฉันมีชีวิตที่ยากลำบาก โชคดีที่ความยากลำบากนั้นได้สอนบทเรียนให้กับฉันซึ่งทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป และฉันก็ได้ใช้บทเรียนนั้นตลอดมาตั้งแต่บัดนั้น
ฉันเรียนรู้ว่าเราสามารถตัดสินว่าเราจะเป็นคนแบบใด เรามีสิทธิ์เลือกที่จะรู้สึกอย่างไรก็ได้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ซึ่งวิธีคิดแบบนี้จะทำให้เราไม่ต้องเป็นเหยื่อของสถานการณ์อีกต่อไป
ฉันได้เรียนรู้ศิลปะแห่งการปรับมุมมองความคิดโดยบังเอิญเมื่อพบกับความขมขื่นในชีวิตเปลี่ยนให้มันเป็นยา

เมื่อตอนที่ฉันเด็กๆ ด้วยอาชีพการงานของคุณพ่อทำให้เราต้องย้ายบ้านทุกๆ 2 หรือ 3 ปี ฉันใช้เวลานาน ผมต้องเป็นเด็กใหม่ในชั้นซึ่งไม่มีเพื่อนและมีสำเนียงที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่น พอผมเริ่มที่จะหาเพื่อนได้เราก็กลับจะต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่น
เมื่อตอนที่ผมอายุประมาณ 7 – 10 ขวบ ผมได้เรียนรู้ว่าผมสามารถที่จะใส่ใจอยู่กับสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับการที่เป็นคนที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียน และผมก็ยิ่งมุ่งความสนใจไปที่สิ่งดีๆ ของการที่ได้ย้ายไปอยู่ในที่ใหม่ๆ และนั่นทำให้ผมสามารถมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยมากกว่าที่จะมัวมานั่งเศร้าใจกับการสูญเสียสิ่งที่คุ้นเคย นี่แหละคือการปรับมุมมองความคิด นี่เป็นศิลปะของการเลือกที่จะให้ความสำคัญต่อสถานการณ์ต่างๆ เป็นการเลือกที่จะให้หาประโยชน์จากสถานการณ์ต่างๆ
วิธีเปลี่ยนมุมมองความคิด
ในการเปลี่ยนมุมมองความคิดคุณเลือกสถานการณ์ซึ่งมีความหมายสำหรับคุณ เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดให้เริ่มค้นหาว่ามีข้อดีอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น และใส่ใจในข้อดีที่เกิดขึ้น หาวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์แทนที่จะเป็นเหยื่อของสถานการณ์วิธีการก็ง่ายๆ เท่านี้เอง
ตัวอย่างเช่น
สถานการณ์ที่ 1 คุณกำลังรถติดอยู่บนถนนและกำลังจะไปสาย คุณจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้อย่างไรแทนที่จะโกรธและฉุนเฉียว ผ่อนคลายและฟังเพลง วางแผนว่าคุณจะทำอย่างไรเมื่อไปถึงที่ทำงานสายแล้ว ซักซ้อมจิตใจเพื่อที่จะรับสถานการณ์ข้างหน้า มองไปที่สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว หรือมองขึ้นไปดูเมฆบนท้องฟ้า
สถานการณ์ที่ 2 เพื่อนรักของคุณตกลงว่าจะไปเที่ยวกับคุณในวันหยุด แต่จู่ๆ ก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปเสียอย่างนั้น คุณอาจโทรศัพท์หาเพื่อนคนอื่นชวนให้ไปกับคุณหรือตัดสินใจว่านี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้วันหยุดท่องเที่ยวด้วยตัวคุณเอง และใช้โอกาสอันนี้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดกว่าความสัมพันธ์อื่นๆ คือความสัมพันธ์กับตัวของคุณเอง
สถานการณ์ที่ 3 คุณวางแผนที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัดแต่แล้วฝนก็ตก คุณจะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้อย่างไร แทนที่จะคร่ำครวญด่าว่าธรรมชาติหรือพระเจ้า มองดูว่าคุณจะทำอะไรอยู่ที่บ้านได้บ้าง อย่างเช่นว่าพักผ่อน ซ่อมแซม หรือโทรศัพท์หาเพื่อนซึ่งคุณไม่ได้ติดต่อด้วยมานานแล้ว หรืออาจจะนอนหลับพักผ่อน
สถานการณ์ที่ 4 เมื่อต้องเลิกรากับแฟน คุณอาจจะรู้สึกเสียใจและสงสารตัวเองหรือโกรธอีกคนหนึ่ง หรือคุณอาจจะตัดสินใจที่จะใช้เวลาว่างของคนโสดเพื่อเตรียมพร้อมต่อความสัมพันธ์ครั้งต่อไป ใช้ความอิสรเสรีและเวลาว่างเพื่อปรับปรุงและพัฒนาตนเอง มีสุขภาพที่ดีขึ้น ลดน้ำหนัก ฝึกเล่นกีฬา หรือทำงานอดิเรกใหม่ๆ หรือใส่ใจการงานให้มากขึ้น
นี่คือการปฏิเสธความจริงหรือเปล่า ไม่ใช่เลย คุณไม่ได้ปฏิเสธความจริง ความจริงก็คือ คุณรู้อยู่ว่าแน่นอน คุณจะพอใจมากกว่าถ้าสถานการณ์เป็นไปอย่างที่ฉันคิด แต่คุณเองก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความจริงที่คุณกำลังเผชิญหน้าอยู่และคุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะตอบสนองต่อความจริงอย่างไร คุณจะเลือกที่จะรู้สึกโกรธหรือสงสารตัวเอง หรือคุณจะเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่ประโยชน์ของสถานการณ์และค้นหาว่าจะทำอย่างไรให้สถานการณ์นี้ให้ประโยชน์กับฉันมากที่สุด
วิธีคิดแห่งความหลุดพ้น
ในทุกขั้นตอนของชีวิตเรามีทางเลือกที่จะรู้สึกต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร สถานการณ์ไม่ได้มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา แต่สิ่งที่มีผลต่อเราคือวิธีการที่เราตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนมุมมองความคิดคือศิลปะในการเลือกที่จะตอบสนองกับสถานการณ์ มันอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการฝึกฝนที่จะสร้างนิสัยในการเปลี่ยนมุมมองความคิด แต่เพียงแค่มองหาทางเลือกและตัดสินใจว่าถึงเวลาหรือยังที่จะปลดปล่อยตัวของท่านเองจากการเป็นเหยื่อของสถานการณ์อย่างที่คนส่วนใหญ่มักเป็นกัน
http://www.pe2000.com/self_help_techniques/reframe-reframe/
http://www.pe2000.com/self_help_techniques/reframe-reframe/
Comentarios