การเปลี่ยนมุมมองความคิด

เขียนโดย Reg Connolly

กษมญ แปล

การเปลี่ยนมุมมองความคิด ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่ เมื่อตอนที่การเปลี่ยนมุมมองความคิดยังอายุน้อยๆ ผมมีชีวิตที่ยากลำบาก โชคดีที่ความยากลำบากนั้นกลับกลายเป็นบทเรียนที่มีค่า ซึ่งทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป และขากการเรียนรู้จากบทเรียนนั้น

ผมเรียนรู้ว่า เราสามารถตัดสินว่า เราจะเป็นคนแบบใด เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก เรามีสิทธิ์เลือกที่จะรู้สึกอย่างไรก็ได้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ซึ่งวิธีคิดแบบนี้จะทำให้เราไม่ต้องเป็นเหยื่อของสถานการณ์อีกต่อไป

ผมได้เรียนรู้ศิลปะแห่งการปรับมุมมองความคิดโดยบังเอิญ

หัวข้อ "เมื่อพบกับความขมขืนในชีวิตเปลี่ยนให้มันเป็นยา"

เมื่อตอนเด็กๆ ด้วยอาชีพการงานของคุณพ่อ ทำให้เราต้องย้ายบ้าน ทุกๆ 2 หรือ 3 ปี ผมต้องเป็นเด็กใหม่ในชั้น ซึ่งไม่มีเพื่อนและมีสำเนียงที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่น พอผมเริ่มที่จะหาเพื่อนได้ เราก็กลับจะต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่น

เมื่อตอนที่อายุประมาณ 7 - 10 ขวบ ผมได้เรียนรู้ว่า เราสามารถที่จะใส่ใจอยู่กับสิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับการที่เป็นคนที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียน และยิ่งมุ่งความสนใจไปที่สิ่งดีๆ ของการที่ได้ย้ายไปอยู่ในที่ใหม่ๆ และนั่นทำให้ผมสามารถมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยมากกว่าที่จะมัวมานั่งเศร้าใจกับการสูญเสียสิ่งที่คุ้นเคย นี่แหละคือการปรับมุมมองความคิด นี่เป็นศิลปะของการเลือกที่จะให้ความสำคัญต่อสถานการณ์ต่างๆ เป็นการเลือกที่จะให้ หาประโยชน์จากสถานการณ์ต่างๆ

หัวข้อ "วิธีเปลี่ยนมุมมองความคิด" ในการเปลี่ยนมุมมองความคิด คุณเลือกสถานการณ์ซึ่งมีความหมายสำหรับคุณ เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิด หรือไม่เป็นไป หรือสิ่งต่างๆ ไม่ ให้เริ่มค้นหาว่า มีข้อดีอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น และใส่ใจในข้อดีที่เกิดขึ้น หาวิธีที่จะใช้สถานการณ์ ที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์แทนที่จะเป็นเหยื่อของสถานการณ์ วิธีการก็ง่ายๆ เท่านี้เอง

ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ที่หนึ่ง คุณกำลังรถติดอยู่บนถนน และกำลังจะไปสาย คุณสามารถใช้สถานการณ์ คุณสามารถ คุณจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ได้อย่างไร แทนที่จะโกรธและฉุนเฉียว ผ่อนคลายและฟังเพลง วางแผนว่าคุณจะทำอย่างไรหลังจากไปถึงที่ทำงานสายแล้ว ซักซ้อมจิตใจ เพื่อที่จะรับสถานการณ์ข้างหน้า มองไปที่สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว หรือมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มองขึ้นไปดูเมฆบนท้องฟ้า ตัวอย่างที่สอง เพื่อนรักของคุณตกลงว่าจะไปเที่ยวกับคุณในวันหยุด แต่จู่ๆ ก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปซะอย่างนั้น คุณอาจโทรศัพท์หาเพื่อนคนอื่นชวนให้ไปกับคุณ หรือตัดสินใจว่า นี่อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้วันหยุดท่องเที่ยวด้วยตัวคุณเอง และใช้โอกาสอันนี้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดกว่าความสัมพันธ์อื่นๆ คือ ความสัมพันธ์กับตัวของคุณเอง ตัวอย่างข้อที่สาม คุณวางแผนที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัด แต่แล้วฝนก็ตก คุณจะสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้อย่างไร แทนที่จะคร่ำครวญ ด่าว่าธรรมชาติ หรือพระเจ้า มองดูว่า คุณจะทำอะไรอยู่ที่บ้านได้บ้าง อย่างเช่นว่าผ่อน พักผ่อน ซ่อมแซม หรือโทรศัพท์หาเพื่อน ซึ่งคุณไม่ได้ติดต่อมาด้วยนานแล้ว หรืออาจจะนอนหลับพักผ่อน ตัวอย่างข้อที่สี่ เมื่อต้องเลิกรากับแฟน คุณอาจจะรู้สึกเสียใจและสงสารตัวเอง หรือโกรธอีกคนหนึ่ง หรือคุณอาจตัดสินใจที่จะใช้เวลาว่างของคนโสด เพื่อเตรียมพร้อมต่อความสัมพันธ์ครั้งต่อไป ใช้ความอิสรเสรี และเวลาว่างเพื่อปรับปรุงและพัฒนาตนเอง มีสุขภาพที่ดีขึ้น ลดน้ำหนัก ฝึกเล่นกีฬา หรือทำงานอดิเรกใหม่ๆ หรือใส่ใจการงานให้มากขึ้น

นี่คือความ นี่คือการปฏิเสธความจริงหรือเปล่า ไม่ใช่เลย คุณไม่ได้ปฏิเสธความจริง ความจริงก็คือ คุณรู้อยู่ว่า แน่นอนคุณจะพอใจมากกว่าถ้าสถานการณ์เป็นไปอย่างที่ฉันคิด แต่คุณเองก็รู้ดีว่า นี่ไม่ใช่ความจริงที่คุณกำลังเผชิญหน้าอยู่ และคุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะตอบสนองกับความจริงอย่างไร คุณจะเลือกที่จะรู้สึกโกรธ หรือสงสารตัวเอง หรือคุณจะเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่ประโยชน์ของสถานการณ์ และค้นหาว่าจะทำอย่างไรให้สถานการณ์นี้ ให้ประโยชน์กับฉันมากที่สุด

วิธีคิดแห่งความหลุดพ้น ในทุกขั้นตอนของชีวิต

เรามีทางเลือกที่จะรู้สึกต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร สถานการณ์ไม่ได้มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา แต่สิ่งที่มีผลต่อเรา คือ วิธีการที่เราตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนมุมมองความคิด คือ ศิลปะและการเลือกที่จะตอบสนองกับสถานการณ์ มันอาจต้องใช้เวลาซะหน่อยในการฝึกฝนที่จะสร้างนิสัยในการเปลี่ยนมุมมองความคิด แต่เพียงแค่มองหาทางเลือก และตัดสินใจว่า ถึงเวลาหรือยัง ที่จะปลดปล่อยตัวของท่านเอง จากการเป็นเหยื่อของสถานการณ์ อย่างที่คนส่วนใหญ่มักเป็นกัน